ฝันดี

เมื่อคืนฝันดี ฝันเรื่องอะไรไม่รู้แต่ฝันดี และความฝันดันไปกวนตะกอนความทรงจำเกี่ยวกับโมริตะ ยูกะขึ้น จำใบหน้า ท่วงท่า น้ำเสียงของเธอชัดเจนขึ้น หลากหลายมุมขึ้น แล้วความทรงจำอื่นๆก็ตามมา ประกอบกันอย่างละเอียดจนเหมือนกับว่าได้กลับไปอยู่ในวันนั้น วันที่เจอกับเธอ ทุกอย่างถูกเรียกกลับคืนมา กลิ่นลมหนาวของญี่ปุ่น ไออากาศเย็นห่อคลุมใบหน้า หู และเส้นผม ความรู้สึกยามหายใจเข้า อากาศเย็นเข้าไปลูบไล้ถุงลมในปอดจนรู้สึกสดชื่นไปทั้งช่องอก สัมผัสของเนื้อผ้าที่ใส่วันนั้น การสะเทือนของร่างกาย จากการเดินตามจังหวะเพลง จากฝ่าเท้ามาถึงยอดผม ใบหน้าของเธอยิ่งชัดเจน เห็นแม้กระทั่งดวงตาที่เผอิญมาประสานกัน และรีบหลบตาด้วยความประหม่า

เป็นยามเช้าที่สวยงามและรัญจวนใจจนไม่อยากลุกไปไหน อยากนอนฝันอยู่เช่นนั้นตราบนานเท่านาน

ออกถ้ำ

กลางแดดระอุบนเรือรับส่งจากเกาะลอย-เกาะสีชัง พระวัยกลางคนรูปหนึ่ง นั่งอยู่ริมหน้าต่างเรือกับลูกวัด ทั้งสองอยากมาเที่ยวเกาะสีชัง แค่มาเที่ยวเท่านั้น ไม่มีจุดประสงค์ทางศาสนาใดๆทั้งสิ้น เหมือนน้าและหลานคู่หนึ่งอยากมาดูทะเล มาเดินชายหาด มาไต่เขา ก็เท่านั้น

เมื่อผู้โดยสารขึ่้นเรือได้ครึ่งลำ ปรากฎหลวงปู่แก่พรรษาอีกรูปหนึ่งลงเรือมาเช่นกัน พร้อมลูกวัดที่น่าจะเป็นเด็กวัดยืมตัวมาจากวัดอื่นหรือสำนักสงฆ์อื่น สังเกตุจากการไม่ตีตัวสนิทสนมและเกรงต่อหลวงปู่อยู่หลายส่วน

หลวงปู่สวมแว่นตากันแดดกรอบทองเท่เก๋ ดูจากเค้าอายุ น่าจะเคยใช้ชีวิตวัยรุ่นในช่วง 2510 หลวงปู่ประสานตากับหลวงพ่อ ท่าทางทั้งสองท่านคลายความกังวลใจลงไปได้ แต่ก็เพิ่มพูนความอึดอัดใจขึ้นมาด้วย หลวงปู่ทักก่อนด้วยเสียงดัง , เอ้า สวัสดีๆ แหม่ มีพระอีกรูปนึงด้วย . 

ลูกวัดของหลวงพ่อ ลุกให้หลวงปู่ได้นั่งข้างๆกันกับหลวงพ่อ หลวงปู่กล่าวทักทายปราศรัยด้วยท่าทีเป็นกันเองอย่างถึงที่สุด 

ฟังทั้งสองสนทนากันไปมาได้ใจความว่า หลวงปู่องค์นี้ออกจากวัด ไปอยู่ในถ้ำแต่เพียงรูปเดียว ไม่ขึ้นสังกัดกับที่ใด หลวงปู่เข้าถ้ำตั้งแต่ปี 2532 ใช้ชีวิตรอดไปวันๆกับผลไม้ป่า และเข้าเมืองไปบิณฑบาตรเป็นบางครั้ง ครั้งนี้ออกมาด้วยเหตุผลบางประการเกี่ยวกับการชักจูงทางจิต จึงกลับไปยังวัดเดิมของตน ขอยืมตัวลูกวัดคนหนึ่งเป็นผู้ช่วยเดินทาง เป้าหมายแรกของการเดินทาง คือวัดถ้ำยายปริก อย่างไม่มีเหตุผล หลวงปู่เดินทางจากจันทบุรีมาในทันที หลวงสอบถามถึงพระเกจิอาจารย์ร่วมรุ่นของท่านหลายรูปจากหลวงพ่อ ถึงทราบว่า พระมีชื่อหรือยังไม่มีชื่อในตอนนั้นหลายท่านได้มรณภาพไปแล้ว จากการฟังถึงวิธีเรียงลำดับเวลาของท่าน ท่านคิดว่าปีนี้เป็นปี 2541 หรือไม่ ท่านก็คงยังตกใจกับเวลาที่เดินทางไปเร็วกว่าที่ท่านคิดไว้มาก ท่านไม่คิดว่าหลวงปู่ไผ่ที่เคยคุยกันเมื่อปี 2528 จะมรณภาพในปี 2541 มันเร็วเกินไปท่านว่า หลังจากนั้นเรือออก เสียงเครื่องยนต์กลบบทสนทนาของท่านไปหมดสิ้น ได้ยินเพียงลางๆว่าทั้งสองกำลังคุยกันเรื่อง อัตตา อนัตตา จิตที่วางแล้ว มนุษย์ ท่านสนทนากันด้่วยภาษาบ้านๆง่ายๆ ไม่ได้ใช้คำเฉพาะภาษาบาลีอย่าง ธัมมจักรกัปปวัตนสูตร อริยมรรค มัชฌิมาปฏิปทา ปฏิจจสมุปบาท หรือ อะไรเทือกๆนั้น 

เมื่อเรือจอดเทียบท่าเกาะสีชัง ทั้งสองท่านก็ร่ำลากัน ต่างฝ่ายต่างเดินขึ้นฝั่งแยกย้ายกันไป 

หลวงพ่อและลูกวัดเดินไปหาพนักงานร้านเช่ามอเตอร์ไซค์ เด็กวัดกับหลวงพ่อช่วยกันต่อรองราคา

หลวงปู่กับลูกวัดอีกคนยืนเคว้งคว้างกลางสะพานร้อนฉ่า 

หลวงพ่อซ้อนท้าย ลูกวัดขับมอเตอร์ไซคฺ ไต่เนินถนนเลี้ยวเข้าทางแยกไปลับตา 

หลวงปู่กับลูกวัดตรวจดูเงินในย่าม หันซ้ายหันขวา เดินเข้าไปคุยกับคนคุมรถรับส่งคนหนึ่ง คนรับส่งชี้ให้ไปขึนรถสองแถวคันที่เตรียมจะออกจากท่าเข้าเกาะ ทั้งสองเดินเข้าไปหลังรถสองแถว

หลวงพ่อจะไปเที่ยวตรงไหน 

หลวงปู่จะทำอย่างไรต่อ 

หลวงพ่อจะพักแรมอย่างไร

หลวงปู่จะได้พบกับเหตุผลที่ท่านต้องเดินทางมาที่นี่หรือไม่ 

ผมไม่ทราบได้ เพราะผมก็แยกทางจากทั้งสอง ผมไม่รับรู้เหตุการณ์ใดๆที่เกิดขึ้น /จะเกิดขึ้นของทั้งสองอีกต่อไป ผมเดินทางขึ้นเลียบเขาเข้าพักผ่อนในโรงแรมเล็กๆแห่งหนึ่ง บางทีวันพรุ่งนี้ผมอาจจะสวนทางกับท่านใดท่านหนึ่ง ระหว่างขับมอเตอร์ไซค์ลงตลาด แต่ผมจะจำท่านทั้งสองได้หรือไม่ เหตุอันใดที่ทำให้ผมต้องจดจำหรือใส่ใจ คืนนี้ผมอาจจะลืมท่านทั้งสองไปพร้อมๆกับอาหารเย็น แต่จะสนทำไม จะเจอหรือไม่เจอท่านทั้งสอง นี่ก็เป็นเพียงเรื่องราวที่ผมจินตนาการมาจากภาพเล็กๆไม่ชัดเจนบนเรือลำหนึ่งเท่านั้นเอง ตอนนั้นผมนั่งอ่านหนังสือของอันโตนีโอ ตาบัคคีอยู่ด้วยซ้ำ 

ถ้าเจอกันอีกครั้ง อาจไม่ใช่พระรูปเดิม