ฝันสองเรื่องในคืนเดียว

เมื่อคืนฝันสนุกมากๆ แบ่งเป็นสองระลอก ระลอกแรกตอนเริ่มหลับ ระลอกที่สองตอนตื่นมาเข้าห้องน้ำแล้วนอนต่อ

มีคนทำหนังคนนึง (หน้าเหมือนจักรวาล นิลธำรงค์แต่ผอมและหล่อกว่ามาก) กำลังทำหนังว่าด้วยนักข่าวไทยคนหนึ่งที่สัมผัสแรงสะเทือนจากปรมาณูที่ฮิโรชิมาได้ และพยายามจะโยงปรากฏการณ์เข้ากับกลไกการทำงานของกล้ามเนื้อในร่างกาย เหมือนจักรวาลจะถ่ายหนังเรื่องนี้โดยไม่ใช้นักแสดงเลย ขณะเราดู process ของทีมงานอยู่ในห้องแถวเล็กๆที่นึง จู่ๆ ข้างนอกใกลออกไปก็เห็นควันรูปเห็ดพุ่งขึ้นมาจากพื้น ในฝันมันสวยมากและรับรู้ความสะเทือนได้ชัดเจนมาก เราเห็น shockwave วิ่งแหวกอากาศมาจากยอดเห็ดข้างบน เราเลยรีบก้มหลบ ก้มหลบซักพักไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ทั้งเมือง(ตอนนั้นเป็นตอนกลางคืน) สว่างแสบตาไปหมด โดยมีแสงสีขาวจากปรมาณูเป็นแหล่งกำเนิดแสงอยู่ทิศนึง เอ้อ ในฝันนี้เราฝันเป็นสีขาวดำนะ (จริงๆมันมีสี แต่แค่บางจุดเช่นเสื้อผ้า กระดาษ และเป็นสีจืดๆเกือบขาวดำ) ปกติฝันสีตลอด วันนี้ฝันขาวดำเฉยเลย

จากนั้นทางบ้านโทรเรียกให้เราไปเจอกันที่งาน”คล้ายสัปดาห์หนังสือ” ความรู้สึกของการเดินทางไปมันคล้ายเราจะไปสัปดาห์หนังสือ แต่จัดกลางแจ้งที่จังหวัดอะไรซักอย่างเลยเพชรบุรีไป และทิศทางที่เราต้องเดินทางไปมันเหมือนเข้าหาแสงปรมาณูเรื่อยๆ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วมันเป็นงานอะไร เพราะไปไม่ถึง พอจะถึงแล้วรถเมล์(หรูมากเหมือนรถเมล์ยุโรป)วกกลับแล้วมาจอดรงสี่แยกนึงแถวเพชรบุรี ตรงนี้เราหันหลังให้แสงปรมาณู จะเห็นท้องฟ้าเป็นสีเทาจางๆสวยมาก ท้องฟ้ามันเป็น gradient สีจากปรมาณูกำเนิดแสงที่ขาวสัสๆเป็นสีเทาๆเกือบมืดที่ฝั่งตรงข้าม

ตอนนี้โทรบอกทางบ้าน ทางบ้านบอกว่าเดี๋ยวจะหารถมาให้จะได้ไปเองได้ เราก็เลยเดินไปฝั่งตรงข้ามของสี่แยก (เป็นสี่แยกหน้าตาเหมือนสี่แยกต่างจังหวัดทั่วๆไป) มีโซนร้านอาหารอยู่ เราไปเดินเล่นได้ซักพักถึงเห็นว่าญาติเรายืนสูบบุหรี่เล่นเฟซบุคอยู่ฝั่งตรงข้ามสี่แยกที่เรายืนตอนแรกนั่นแหละ

พอเดินไปหาทางบ้านทางบ้านก็บอกให้เดินขึ้นสะพานข้างหลังนี้ไป ถนนของสี่แยกทิศตะวันตกมันเป็นถนนที่ยกระดับเป็นสะพาน เราก็เดินข้ามสะพานไปแล้วก็เจอโลตัสประชาชื่น แล้วไม่รู้ตอนไหนเรามีกุญแจรถในมือแล้ว แล้วเราก็เจอรถเรา เป็น Honda Accord ที่พ่อเราซื้อเมื่อเกือบ 15 ปีก่อน ขายไปตอนเราอยู่ ป.5-ป.6 ตอนนี้เราได้ขับรถคันนี้ รถสภาพดีมาก พอเราจะขับกลับไปงาน”คล้ายสัปดาห์หนังสือ” เราก็รับเพื่อนเราขึ้นมาระหว่างทางคนนึง เป็นเพื่อนผู้หญิง ไม่รู้เป็นใคร แต่หน้าตาน่ารักมากกกกกกกกกก แล้วก็คุยเล่นกันไปเรื่อยๆเหมือนรู้จักกันมานาน แล้วเธอมีท่าทีเหมือนแอบชอบเราด้วย แล้วเราก็ติ่น

พอตื่นมาเข้าห้องน้ำเสร็จเราก็กลับมาฝันต่อ

ฝันระลอกสองเราตื่นมาแถวๆสี่แยกในฝันแรกนั่นแหละ แล้วก็เจอแม่กับน้องสาว ชวนกันไปห้างฟิวเจอร์พาร์ครังสิตที่ทำใหม่ แต่ข้างในเหมือนแฟชันไอส์แลนด์ แล้วใหญ่โตมาก แม่งมีเกือบ50ชั้นเลยมั้ง ในห้างฟุ่มเฟือยบันไดเลื่อนเกินไป เดินไปตรงไหนก็เจอบันไดเลื่อน แล้วเจออันนึงดีงามมาก มันมีชั้นชั้นนึงยื่นพื้นที่เป็นจงอยออกมา แล้วทำบันไดเลื่อน highway เป็นบันไดเลื่อนติดกัน 8 อัน เชื่อมจากชั้นนั้นขึ้นไป4-5 ชั้นข้างบน เราเดินกันขึ้นมาถึงชั้นบนสุดเป็นชั้นโรงหนังที่ไม่ใช่ของเครือเมเจอร์ และน่าจะแพงมาก เคาน์เตอร์ประดับด้วยหินอ่อน ไม่ใช้ไฟนีออนโง่ๆแบบเมเจอร์และสะอาดตามากๆ จากนั้นแม่ทักว่านี่ตี4แล้ว กลับบ้านกัน แต่นี่ข้างนอกยังสว่างอยู่เพราะแสงปรมาณู ก็เดินลงบันไดเลื่อนกัน เราก็บอกแม่ว่าลงลิฟต์เถอะ ตั้ง 50 ชั้น แต่แม่ไม่เชื่อเลยลงบันไดเลื่อนกันไปเรื่อยๆ แล้วก็เดินเลยไปถึงชั้นใต้ดิน2 แม่เราเดินกลับขึ้นไปแล้ว ส่วนเราเดินไปซื้อไอติมตรงแผง เป็นไอติมสายรุ้ง ชั้นใต้ดิน2นี่เน่ามากๆ เหมือนเซียร์รังสิตชั้นใต้ดินที่มีแม่ค้าแผงลอยมาเปิดกันมั่วไปหมด พอมองผ่านช่องว่างบันไดเลื่อนขึ้นไปก็เห็นห้างระดับ Hi-class ใหญ่อลังการ (และสวยมากๆ) ตัดกันกับไอ้ที่ยืนซื้อไอติมอยู่ชั้นล่างเลย พอขึ้นมาเราก็เดินออกจากห้างไปสี่แยกเดิม(ไม่สนใจแม่กับน้องสาวแล้ว) ทางบ้านเราจองรีสอร์ทพักกันแถวนั้นแล้ว เพราะบอกว่าเราชอบมาหลงทางตรงนี้ (กูไม่ได้ชอบ มันหลงเอง) เราเลยไปเดินเล่น ถนนทิศเหนือของสี่แยกเดินเลยไปเจอโรงเรียนหอวัง เราเจอเด็กคุยกันเรื่องกล้องถ่ายหนังแล้วอยากเข้าไปแจมมากๆแต่ไม่กล้า เลยทำแค่ยืนฟังตรงหน้าพวกมัน แล้วมันก็ให้เรายืนฟังด้วย ก่อนจะเดินกลับมาแล้วเจอรีสอร์ทข้างๆเป็นลุงแก่ๆสองคน ซึ่งสองคนนี้มันน่าจะเป็นลุงฝรั่งที่หลุดออกมาจากกระทู้ของดราม่านิพัน the deepest แต่หน้าตามันเหมือน Geddy Lee กับ Alex Lifeson จากวงRush แม่งจัดงานฉายหนังกันในรีสอร์ท และชื่องานคือ Signes De Nuit Film Festival!!!!!!! คือเหมือนมันเช่าห้องรีสอร์ทพักผ่อนแล้วก็แอบฉายหนังเถื่อนๆกัน พอหนังฉายไป (หนังห่วยแตกทุกเรื่องเลย เหมือนละครทีวีแย่ๆ) ไอ้ Geddy Lee ก็เอาใบสมัครสมาชิกกลุ่มมาให้ เราก็รับมากรอกเอกสารเราเพราะเห็นว่าไม่เสียหลาย

พอดูเสร็จกลับมาห้อง เจออาจารย์ภาคฟิสิกส์เรานั่งเล่นคอมอยู่คนนึงหน้าห้อง เรานั่งพักได้สักแปปอี Geddy Lee ก็ตามมา มาคุยเรื่องการเตรียมตัวจัดฉายหนังของเรา เราก็ตกใจบอกว่าเฮ้ย ทำไมผมต้องจัดฉายหนัง Geddy Lee ก็บอกว่า นี่ไง มึงสมัครสมาชิกแล้ว มึงต้องฉายหนังให้กูฟรีๆ มีข้อกำหนดอยู่ตรงนี้ เราพยายามอ่านเราก็ไม่เห้นว่ามันจะเขียนว่างอย่างงั้น มันเขียนแค่ข้อกำหนดทั่วๆไป อาจารย์เรานั่งฟังเหตุการณ์อยู่เลยตอบน้ำเสียงเย็นชามาเลยว่า “ทำแบบนี้มันหลอกลวงกันนี่ คุณไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก ปฏิเสธไปเลย” เราก็เลยปฏิเสธแบบเย็นชากลับไป “ผมขอลาออก” ไอ้ Geddy Lee ก็ไม่พอใจอย่างมาก เลยพูดกับเราว่า “มึงระวังตัวไว้” แล้วก็เดินออกไป สักพักเราเดินออกไปนอกระเบียง เจอ Geddy Lee ยืนถือไม้อะไรซักอย่างคุยกับ Lifeson อยู่ เหมือนเตรียมจะมาฟาดเรา แล้วเราก็ตื่น

พยายามจะเขียนมาตั้งแต่ 7 โมงเช้าแล้ว แต่สุดท้ายก็ยอมรับว่าไม่สามารถเขียนได้ จะเรียกว่าไม่กล้าเขียนดีกว่า เพราะมันหาวิธีอธิบายเป็นตัวอักษรได้ยากมาก และยาวมาก เพื่อจะให้มันใกล้เคียงกับภาพที่เห็นมากที่สุด แต่มันก็ยังได้แค่ใกล้เคียง เหตุการณ์แค่ 5 วินาที อาจจะต้องใช้ตัวอักษรมากถึง 3000 คำในการอธิบาย ฉะนั้นแล้วเก็บเอาไว้ฟินคนเดียวน่าจะเหมาะกว่า

 

แต่เมื่อคืนนี้ มันคือความฝันที่ดีที่สุดครั้งนึงในชีวิตที่เคยฝัน (ล่าสุดก่อนหน้านี้คือความฝันที่บอกว่าได้กลิ่นหอมของอากาศ 14 องศาที่ญี่ปุ่น และเจอยูกะจังในความฝัน)

 

คือนอกจากจะเป็นฝันที่จดจำได้รายละเอียดได้เยอะมาก และครบถ้วนเกือบจะสมบูรณ์ ความแปลกของความฝันครั้งนี้คือ มันมีตรรกะเหตุผลและความต่อเนื่องมากเกินไป มันสมจริงเลยแหละ ซึ่งโดยปกติตรรกะเหตุผลควรเป็นสิ่งต้องห้ามในความฝัน แต่ครั้งนี้มันไม่มีบรรยากาศเหนือจริงและเหนือเหตุผลเอาเลย แทบไม่มี

 

และเพราะจดจำรายละเอียดได้มาก เราจึงพบว่า ความฝันรอบนี้เป็นการตกผลึกของสิ่งที่เรารับรู้เมื่อวานสามเรื่องใหญ่ๆด้วยกัน คือฉากจบของ I can no longer hear the guitar และตอน Benefits ใน season 4 ของ How I met your mother และบทสนทนากับรุ่นน้องคนนึงใน chatbox เมื่อคืน

 

โดยปกติแล้วเราจะรู้อยู่ (และหลายคนที่ชอบระลึกความฝันตัวเองก็น่าจะสังเกตุได้ไม่ยาก) ว่าความฝันที่เราฝันเนี่ย เมื่อรื้อฟื้นวัตถุหรือสถานการณ์ในความฝันกลับไปดีๆเราจะพบว่าต้นทางวัตถุดิบของมันมาจากสิ่งที่เราเสพรู้ในโลกจริง แต่หลายครั้งเราจะแกะออกแค่บางตัวว่าอันนี้มันมาจากที่เราดูหนังเรื่องนี้ อันนี้มาจากข่าวที่เราดูตอนเช้า อันนี้มาจากหนังสือที่เราเพิ่งอ่าน อันนี้มาจากรูปภาพที่เห็นในหอศิลป์ ฯลฯ

 

แต่ครั้งนี้มันชัดเจนและระบุได้มากๆ ว่านี่มันมาจากอะไร กระทั่งสถานที่ ซึ่งปกติสถานที่ในความฝันจะกระจัดกระจาย เช่นเปิดประตูห้องนอนออกไปกลายเป็นโถงทางเดินในโรงเรียน แต่ครั้งนี้มันจำเพาะเจาะจงมากๆ ระบุได้เลยด้วยซ้ำว่านี่คือร้าน House of Commons นี่คือบ้านญี่ปุ่นใน Rent-a-cat นี่คือเตียงนอนของบ้านโอ๊ต

 

และในความฝัน บุคคลมีชีวิตในความฝันของเราล้วนเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาหรือเราเคยรู้จักมาแล้ว หรือเป็นคนที่เรานั่งจินตนาการขึ้นมาจากความว่างเปล่าในขณะที่เราควบคุมจิตสำนึกตัวเองอยู่ (ตอนเราตื่นอยู่) อย่างใน House of commons เราก็เห็นพี่วิวัฒน์นั่งฉายหนังอยู่ หรือตอนเข้ามาในบ้านญี่ปุ่น เราก็เห็นเอกอภิชัยคุยกับเราอยู่ แต่ที่พิเศษครั้งนี้ คือเธอคนนั้น เธอผู้มีความสำคัญมากที่สุดในความฝันครั้งนี้ จนเราต้องลุกมาเขียนถึงมัน เธอเป็นผู้หญิงที่ระบุตัวตนไม่ได้ว่าเป็นใคร เธอมีเสน่ห์อย่างพิเศษจนเราไม่อาจเอามาเปรียบเทียบกับใครในโลกความจริงได้ เพราะมันไม่มีใครมีเสน่ห์เท่ากับเธอ แม้แต่โมริตะ ยูกะ ก็ไม่ได้มีความพิเศษต่อเรามากเท่ากับเธอคนนี้ เหมือนเธอไม่ใช่ผลลัพธ์ที่ประมวลมาจากก้อนความคิดของเรา แต่เธอเป็นสิ่งที่อยู่ภายนอก ซึ่งบังเอิญหลุดเข้ามาในความฝันของเรา เข้ามาแทรกแซงความฝันอันเกิดจากจิตไร้สำนึกของเรา เธอพิเศษกว่าสิ่งใดๆ และเราก็รู้ตัวว่าเธอรุกล้ำเข้ามาจากภายนอกแน่ๆ ที่ไหนสักแห่ง

 

โมริตะ ยูกะ ยังไม่ได้รับอภิสิทธิ์ให้เป็นบุคคลพิเศษเท่ากับเธอคนนี้ โมริตะ ยูกะ เป็นรองเธออยู่ขั้นหนึ่ง และเราไม่มีวันรู้ว่าเธอเป็นใคร และเราก็ไม่แน่ใจว่าความฝันครั้งถัดไป เธอยังจะหลุดเข้ามาก่อกวนความราบเรียบของความฝันเราอีกหรือไม่

 

เราเพิ่งจะได้ตระหนักอย่างถ่องแท้ถึง Lady of dream หรือสาวในฝัน ว่ามันเป็นเช่นไรก็ใน 7 โมงเช้าของวันนี้เอง และไม่ใช่สาวในฝันที่เป็นคำอุปลักษณ์อุปมาเปรียบเปรยด้วย เป็นหญิงสาวที่ “มีตัวตนของตัวเอง” อยู่ในความฝันจริงๆ และเข้ามาแชร์ หรือเรียกว่าเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในความฝัน เข้ามาหยิบใช้สิ่งของที่สร้างขึ้นจากฝันของเราจริงๆเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่งร่วมกับเราแล้วจากไป และเป็นผู้หญิงที่ไม่มีตัวตนใดๆในโลกเนื้อหนังมังสา แต่มีตัวตนที่เป็น “เนื้อหนังและมีชีวิต” อยู่ในโลกความฝันจริงๆ และเธออาจจะใช้ชีวิตเช่นนี้มายาวนานนับร้อยนับพันนับแสนล้านปีแล้ว ด้วยการท่องเดินไปในความฝันของผู้คน ยืมความฝันของเขาหลับใหล อาบน้ำชำระกาย ดื่มกินอาหาร และจากไปเพื่อเดินทางไปยังความฝันของผู้อื่นต่อเรื่อยๆ เธออยู่รอดมาได้ด้วยวิถีทางแบบนั้น ด้วยการใช้ชีวิตแบบนั้น และเราก็ไม่รู้ว่าอีกนานกี่หมื่นพันปีเธอจะเดินกลับมาหาเราในความฝันอีก มาขอใช้ห้องน้ำและขอกินอาหารและที่หลับนอนในความฝันของเรา และหลงรักกับเราและทำให้เราหลงรักเธออีกไหม หรือเธออาจจะยังเฝ้ารอเพื่อพบเราอีกครั้งในคืนนี้ ถ้าเราได้เจอเธอในคืนนี้เราจะขอร้องเธอให้พาเราไปด้วย พาเราไปกับเธอ ที่ไหนก้ได้ ท่องไปในความฝันของผู้คนตลอดกาล ใช้ชีวิตอยู่ในความฝันเช่นนั้นด้วยกันกับเธอ เธอคงเหงาที่จะต้องเดินคนเดียวมาตลอด แต่จากนี้เธอจะไม่อีกแล้ว เพราะเราจะไปกับเธอในทุกๆที่ในทุกๆแห่ง

ความปรารถนาชั่วชีวิตของความทรงจำชั่วชีวิต

http://youtu.be/-32AAp418V4

บนรถสาธารณะ : ข้าพเจ้าดื่มด่ำห้วงเวิ้งแห่งอดีตของความเจ็บปวดอันหอมหวานซึ่งนั่งอยู่ด้านหลังข้าพเจ้าไปสองแถวด้วยเพลงนี้ [This is the day by The The ] ; เมื่อครั้งเราสนทนากันเป็นนานผ่านอักษรดิจิตอลในโทรศัพท์มือถือ

เมื่อครั้งเราประสานสายตากันในเสี้ยวเศษวินาทีก่อนเสียงกริ่งเคารพธงชาติจะดังขึ้น

เมื่อครั้งที่ข้าพเจ้าทำเรื่องร้ายแรงและคุกคามให้เกิดกับเราอย่างไม่ได้ตั้งใจ

เมื่อครั้งที่ข้อความชุดท้ายๆของเราส่งถึงกัน

เมื่อครั้งที่ข้าพเจ้านอนอยู่บนเตียง เหงือออกทั่วหน้าและมือ ผิวกายร้อนผะผ่าวและน้ำตาเอ่อคลอ ความสำนึกผิดและเจ็บปวดท่วมล้นหัวใจ

เมื่อครั้งข้าพเจ้านั่งเหม่อลอยมองดูรูปภาพเหล่านั้น

เมื่อครั้งข้าพเจ้าไล่อ่านอย่างไร้จุดหมายต่อข้อความเหล่านั้น

เมื่อครั้งข้าพเจ้ากล้าหาญพอที่จะกดไลค์รูปภาพอีกครั้งหลังจากเกรงกลัวอยู่นานนับเดือน

เมื่อครั้งที่เกิดบทสนทนาสั้นๆระหว่างเราอีกครั้ง และอีกครั้ง และมีเพียงเท่านั้นจนวันนี้ นับได้เพียงสองคราว

เมื่อครั้งข้าพเจ้าเปิดลิ้นชักเก็บของแล้วยังพบกล่องคุกกี้ที่ได้รับมาเป็นของขวัญวันเกิดชิ้นนั้น

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายใต้ระยะของเวลาที่สั้นเมื่อเปรียบกับระยะของเวลาในชั่วชีวิต แต่เป็นช่วงเวลาที่ข้าพเจ้าเข้าใกล้กับการเติมเต็มทางจิตใจมากที่สุด เป็นการเติมเต็มความปรารถนาของความระห่ำแห่งชีวิต ความปรารถนาที่สะสมมาชั่วชีวิต ความปรารถนาที่ฟาดด้วยแส้ลงด้วยดาบใส่หัวใจมานับหมื่นแสนหน

ทั้งหมดนี้ตกตะกอนอยู่ในความทรงจำที่แน่นเป็นปึก

เป็นความทรงจำชั่วชีวิต ความทรงจำที่รุนแรงจนในที่สุดวันหนึ่งมันฝังแน่นอยู่ในใจไปชั่วชีวิต

ทั้งหมดนี้จึงเป็น ความปราถนาชั่วชีวิตในความทรงจำชั่วชีวิต

วันนี้ห้วงเวิ้งแห่งอดีตของความเจ็บปวดอันหอมหวานนั่งลงถัดไปข้างหลังเพียงสองเบาะ หรือหนึ่งข้าพเจ้าก็ไม่อาจแน่ใจ และเยื้องไปทั้งซ้ายจากแถวตอนของข้าพเจ้า ความทรงจำแน่นปึกดั่งของแข็ง ถูกทำละลายด้วยสารละลายความทรงจำ ตะกอนความปราถนาชั่วชีวิตในความทรงจำชั่วชีวิตที่นอนก้นถูกตีกวนคละคลุ้งกลับมาอีกครั้ง

;ข้าพเจ้าไร้สิ้นความสามารถในการหายใจอย่างปกติ และจิตใจพัดกระโชกรุนแรงจนถ้อยคำไม่อาจเอื้อนเอ่ย

พล็อตหนังระหว่างเดินทางกลับบ้าน

พล็อตหนังระหว่างเดินทางกลับบ้าน #1
คุณพ่อจูงลูกชายและลูกสาวตัวเล็กๆลงมาชั้นใต้ดินของเซียร์
คุณพ่อพาคุณลูกๆไปซื้อซอฟต์ ไอศครีม ของแม็คโดนอลด์
แต่จริงๆคุณพ่อตั้งใจมาจีบพนักงานขายซอฟต์ไอศครีม
พล็อตหนังระหว่างเดินทางกลับบ้าน #2
ชายหนุ่มไว้ผมสกินเฮดขึ้นรถเมล์กลับบ้าน
เขาพบหญิงสาวแสนสวยนางหนึ่ง
ทั้งสองยืนชิดกันบนรถเมล์
พนักงานขับรถตะโกนด่าคนกดออด “ไม่ต้องกดซ้ำหลายทีครับ กูไม่ได้หูตึงครับ”
เขาตกใจที่เธอก็ลงป้ายเดียวกันกับเขา
เดินเข้าเซเว่นพร้อมกับเขาด้วย
เขาออกจากเซเวนโดยกะเวลาให้เธอจ่ายเงินเสร็จพอดี
เขาเดินขึ้นสะพานลอย
เธอเดินไปตามฟุตพาธเป็นเส้นตรงไปเรื่อยๆ
เขาลอบมองเธออยู่บนสะพานลอยที่มืดมิดอย่างนิ่งๆ
คนที่เดินผ่านบนสะพานลอยทำท่าระแวงเขา
เธอเดินไปจนถึงปากซอยถาวรวิลล่า ห่างจากสะพานลอยประมาณ 400 เมตร
เธอยืนรอซัมติงอยู่นิ่งๆ บิดตัวไปมาเป็นบางครั้ง
สักพักซัมติงที่เธอรอก็ออกมาจากซอกหลืบ
มอเตอร์ไซค์กับผัวของเธอ
เธอขึ้นมอเตอร์ไซค์แล้วมอเตอร์ไซค์ก็หายลับกลับไปในซอกหลืบ
ปล่อยให้เขายืนนิ่งเงียบอยู่บนสะพานลอยแต่เพียงผู้เดียว

ขาด

ที่ชนบทในประเทศจีน หนุ่มสาวที่พร้อมสำหรับการทำงานหาเงินแล้วจะเดินทางออกจากหมู่บ้านเข้าเมืองอุตสาหกรรมหรือเมืองหลวง บ้างเดินทางไปฮ่องกง บางคนเดินทางมาถึงเอเชียใต้ บรรพบุรุษของข้าพต้องออกเดินทางเช่นบ้านอื่น มีตัวเขา พี่สาวสองคน พี่ชายหนึ่งคน และน้องชายอีกสองคน ปู่กับย่ากับป้าอยู่ด้วยกันที่บ้าน รอรับเงินที่ส่งมาทางจดหมาย

แรกเริ่มเขาทำงานที่เหมืองแร่ห่างไกลจากบ้านเพียงสามร้อยกิโลเมตร เขากลับบ้านในช่วงวันตรุษอยู่สามปี ก่อนจำเป็นต้องย้ายไปอยู่ปักกิ่ง ระยะทางห่างไกลจากบ้านนับพันกิโลเมตร ตลอดเวลาหกปี เขาได้เดินทางกลับบ้านสามครั้ง ครั้งแรก พี่ชายเขานำบุตรชายมาฝากให้ปู่กับย่ากับป้าเลี้ยงดู เด็กทารกผิวนุ่มนวลบอบบาง ครั้งที่สองทราบว่าพี่สาวคนหนึ่งของเขาตายเสียแล้ว และพวกเขาไม่มีปัญญาทำพิธีศพให้กับเธอ ครั้งที่สามเขานำลูกชายของเขามาฝากปู่กับย่ากับป้าเลี้ยงดู เด็กน้อยที่เกิดจากเขาและหญิงสาวที่กำลังจะกลายเป็นบ้าคนหนึ่ง น้องชายของเขาก็นำลูกชายของเขามาฝากไว้ด้วยเช่นกัน

หญิงสาวที่เป็นแม่ของลูกชายเขาถูกฆ่าตาย เขาเดินทางไปสู่เกาะฮ่องกง ไปทำงานโรงงานธูปที่ไร้ซึ่งมาตรฐานความปลอดภัยต่อพนักงานโดยสิ้นเชิง เขาไม่ทราบเรื่องราวใดๆของครอบครัวและลูกๆอีกหลังจากมีเหตุให้เขาต้องเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือ และแม้เขาจะไม่เปลี่ยนโทรศัพท์มือถือก็ไม่ค่อยมีใครโทรหาเขาอยู่แล้ว ปู่กับย่ากับป้าไม่มีเงินจะโทรศัพท์มาหาเขาบ่อยนัก ระยะทางจากเกาะฮ่องกงถึงบ้านเขา ไกลเกินกว่าเขาจะกลับไปโดยไม่ลางาน โรงงานธูปไม่มีที่ให้กับคนไม่มาทำงาน ไร้ข่าวจากพี่น้องที่ออกเดินทางพร้อมกัน

สุขภาพทรุดโทรมลงอย่างหนัก สี่ปีต่อมา เขาเดินทางข้ามทะเลมาทำงานที่ประเทศไทยเหนือ ระยะทางห่างไกลจากบ้านกว่าครึ่งหมื่นกิโลเมตร เป็นพนักงานเสิร์ฟอาหารในร้านอาหารจีนโต้รุ่งแห่งหนึ่ง ทุกๆคืนวันเสาร์จะมีกลุ่มนักดูหนังมานั่งสนทนาเสียงดังกระหึ่ม ตั้งแต่สี่ห้าทุ่ม ถึงตีสามตีสี่ เขาเลิกหาทางกลับบ้านแล้ว เขาอยู่ที่นี่อย่างยาวนานถึงสามสิบปี ให้กำเนิดเด็กสาวกับหญิงรับใช้ชาวไทยคนหนึ่ง เธอโตขึ้นมาเพื่อจะเป็นคุณยายของผม ข่าวคราวจากเมืองจีนหายไปโดยสิ้นเชิง

แต่ที่เมืองจีน คนที่นั่นยังไม่หายสาบสูญ ลูกชายของเขาโตขึ้นเป็นนักทำงานชั้นดี เขารื้อที่ดินรกชัฎของตระกูลเสียใหม่ ปลูกพืชผักสวนครัว ส่งขายเข้าตัวเมือง ปู่กับย่ากับป้าของพ่อเขาตายแล้ว เขาทำงานกับลูกพี่ลูกน้องของเขา พี่ชายพี่สาวและน้องชายของพ่อเขาได้กลับมาใช้บั้นปลายชีวิตที่บ้านกับลูกและหลาน ครอบครัวหนึ่งในหมู่บ้านขายลูกสาวผิวพรรณงามให้กับเขา เขาให้กำเนิดบุตรชายหนึ่งคน ลูกพี่ลูกน้องของเขาก็เช่นกัน ต่างให้กำเนิดบุตรชายคนละหนึ่ง

ยิ่งระยะทางไกลออกไป ครอบครัวเดียวกันก็แยกขาดจากกันโดยเกือบจะสิ้นเชิง แต่ทั้งสองครอบครัวก็ยังสร้างแขนงทายาทของพวกเขาต่อไปเรื่อยๆไม่จบไม่สิ้น แม้จะไม่มีใครทราบการมีอยู่ของคนทั้งสองหมู่ แต่เขาล้วนเป็นครอบครัวเดียวกันในทางใดทางหนึ่ง นี่คือประเทศจีน หนุ่มสาวที่พร้อมสำหรับการทำงานหาเงินแล้วจะเดินทางออกจากหมู่บ้านเข้าเมืองอุตสาหกรรมหรือเมืองหลวง บ้างเดินทางไปฮ่องกง บางคนเดินทางมาถึงเอเชียใต้ ระยะทางยาวไกลเกินหวนคืน เวลายาวนานกัดกร่อนถนนหนทางบ้านเรือนและความทรงจำ แต่การสืบทอดสายเลือดยังดำเนินต่อไปแม้พวกเขาจะไม่รู้ก็ตามแต่ วันนี้ที่ประเทศจีนหายไป ฮ่องกงหายไป เหลือแต่ข้อมูลเชิงภูมิศาสตร์เกี่ยวกับหมู่บ้านแห่งนั้นคร่าวๆ ข้าพเจ้าไม่ทราบได้ว่าถ้ากลับไปจะพบกับอีกครอบครัวของบรรพบุรุษข้าพเจ้าหรือไม่ แต่ท่วงทำนองของโลกมันก็ดำเนินไปเช่นนี้ ลมกรรโชกของกาลเวลาลบรอยเท้าที่เราเดินผ่านไปเรื่อยๆ รัฐใหม่กำลังเลือนลบขอบเขตเดิมของโลกเก่า แล้วเราก็จะอยู่อย่างโดดเดี่ยวเช่นนี้ไปอีกนานยาว

หญิงสาวที่ปรากฎตัวใต้เงาแดดยามเย็น

ผมเดินขึ้นสะพานลอย ก่อนจะสังเกตุเห็นหญิงสาวคนหนึ่งในชุดนักศึกษาที่มิใช่มหาวิทยาลัยของผม เดินกรีดกรายอยู่หน้าแผงนิตยสารในเซเวน อีเลฟเวน ก่อนเธอจะเดินออกมา และทอดน่องไปตามบาทวิถีทางซ้ายมือ โดยไม่ได้สังเกตุเห็นผมที่ยืนอยู่ตรงกลางบันไดสะพานลอยเลย

หญิงสาวสวยจนสะดุดตาและไม่เคยคุ้นหน้ามาก่อนตลอดระยะเวลา7ปี ที่อาศัยอยู่ในย่านนี้ ผมจับจ้องมองตามเธอไปจนตัวบันไดสะพานลอยบดบังทัศนียภาพ ก่อนจะเดินขึ้นไปอยู่ตรงกลางสะพานลอย มองเธอ หญิงสาวหน้าตาน่ารัก ดูชดช้อยตั้งแต่แวบแรกที่พบเจอ ดวงตาท่วงท่าลึกลับ ทรงเสน่ห์ สวยกว่าใครๆที่เคยเจอในย่านนี้ เธอเดินด้วยจังหวะคงที่สบายอารมณ์ แต่ไม่เฉื่อยช้า ไปตามบาทวิถี ที่ยิ่งไกลตัวผมออกไปเรื่อยๆ ผมยังจ้องมองเธออยู่อย่างนั้น

เธอตัวเล็กลงเรื่อยๆ ผมมองดูว่าเธอจะเลี้ยวโค้งเข้าไปในหมู่บ้านไหน เธอไม่ได้เลี้ยวเข้าหมู่บ้านไอ ดีไซน์ อย่างที่ผมคาดหวังไว้ และเธอก็ไม่ได้เลี้ยวเข้าซอยข้างหมู่บ้าน ไอดีไซน์ เธอยังคงเดินต่อไป ยิ่งไกล เธอก็ยื่งเล็กลง ผมยิ่งสำรวจเธอได้น้อยลงและยากขึ้น ผมยังจับจ้องมองเธออยู่เท่าที่จะทำได้ อาจจะสัก 3 นาที หรือ 5 นาที จนเธอเดินไปถึงหน้าหมู่บ้านลัลลี่ วิลล์ ระยะทางที่ไกลเกินกว่าสมรรถภาพของดวงตาผม กับสายยาวของขบวนรถที่คอยบดบังทัศนียภาพของผมกับเธอให้ขาดตอนเป็นช่วงๆเหมือนสัญญาณวิทยุที่ขาดหายขาดหาย ผมไม่แน่ใจว่าเธอเลี้ยวเข้าหมู่บ้าน ลัลลี่ วิลล์ หรือเปล่า แต่ผมคิดว่าใช่ ตรงนั้นมันเป็นป้ายรถเมล์อีกป้ายหนึ่งเลย และผมคงไม่ได้เจอเธออีกตลอดไป ซึ่งผมหวังว่ามันจะไม่เป็นอย่างนั้น แต่ที่ผ่านมาหลายปี มันเป็นอย่างนั้นทุกครั้ง